ชวนคุยชวนเที่ยว


             สวัสดีครับ Tone Jab เเละ Yong ขอทักทายอย่างเป็นทางการ (อ๊ะ...หรือว่าไม่เป็นทางการดี^^) วันนี้พวกเรา3คนก็จะมาคุยถึงประเทศที่เราทั้งสามคนสนใจ เเละอยากจะไปเที่ยวในประเทศนั้นๆมากที่สุด...
          เราทั้งสามคนจึงอยากจะอาสา(เสนอตัว)เป็นไกด์ เเนะนำประเทศเหล่านั้นตั้งเเต่ที่ตั้ง ไปจนถึงสถานที่ๆตึดอันดับน่าท่องเที่ยวที่สุดในประเทศนั้นเลยทีเดียว....
         
Tone: งั้นเริ่มที่ผมคนเเรกเลยนะครับ ผมคือMr.Tone ^.^
         ประเทศที่ผมกำลังจะเเนะนำให้กับทุกๆคนไปเที่ยวกันในช่วงวันหยุดนี้ถือเป็นประเทศที่ต้องมีเงินใช้จ่ายในการไปเที่ยวมากพอสมควรเลยที่เดียวครับ ขอประกาศเลยก็แล้วกัน นั่นคือประเทศ สหรัฐอเมริกา



          บางคนก็เรียกประเทศนี้เเบบย่อๆว่า สหรัฐ หรือ อเมริกา  เป็นสหพันธรัฐประชาธิปไตย ปกครองภายใต้รัฐธรรมนูญ ประกอบไปด้วยรัฐ 50 รัฐ มีพื้นที่ครอบคลุมส่วนใหญ่ของทวีปอเมริกาเหนือ มีพรมแดนติดต่อ กับแคนาดาทางทิศเหนือ และเม็กซิโกทางทิศใต้ ส่วนพรมแดนทางทะเลนั้นติดต่อกับแคนาดา รัสเซียและบาฮามาส โดยมีมหาสมุทรแปซิฟิก ทะเลแบริง มหาสมุทรอาร์กติก มหาสมุทรแอตแลนติก อ่าวเม็กซิโก และทะเลแคริบเบียนเป็นผืนน้ำล้อมรอบ นอกจากนี้ยังมีดินแดนบางส่วนในแคริบเบียน และมหาสมุทรแปซิฟิกอีกด้วยครับ^^

         
       เมืองหลวงของสหรัฐอเมริกาคือ วอชิงตันดี.ซี.
 ส่วนเมืองที่ใหญ่ที่สุดคือ นิวยอร์ก
                    และที่น่าสนใจก็คือ สหรัฐอเมริกาไม่มีการกำหนดภาษาทางการ แต่ในทางปฏิบัติภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ใช้กันมากที่สุดในประเทศ ในบางรัฐได้มีการกำหนดภาษาทางการของรัฐ นอกจากนี้ภาษาที่มีใช้กันมากในสหรัฐอเมริกามากกว่าหนึ่งล้านคน ได้แก่ ภาษาสเปน ภาษาจีน ภาษาฝรั่งเศส ภาษาเวียดนาม และ ภาษาเยอรมัน ดังนั้นผมคิดว่า ถ้าหากเก่งภาษาใดภาษาหนึ่งที่ได้บอกไว้ข้างต้น ก็คงจะสื่อสารกับคนในสหรัฐอเมริกาได้ไม่ยาก เเต่เพื่อความปลอดภัยก็น่าจะฝึกภาษาภาษาอังกฤษไปบ้างก็แล้วกันครับ
                  อ้อ...และอีกอย่างที่ผมอยากให้ทราบคือเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกานับว่าใหญ่ที่สุดในโลกเลยล่ะครับ และสงครามสเปน-อเมริกันและสงครามโลกครั้งที่หนึ่งก็ได้เน้นย้ำถึงสถานภาพทางทหารของสหรัฐอเมริกา สหรัฐอเมริกาก้าวขึ้นมาจากสงครามโลกครั้งที่สอง เป็นประเทศแรกซึ่งมีอาวุธนิวเคลียร์อยู่ในครอบครอง และเป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ หลังจากการสิ้นสุดของสงครามเย็นและการยุบสหภาพโซเวียต ก็ได้ส่งผลให้สหรัฐอเมริกากลายเป็นรัฐอภิมหาอำนาจเดี่ยวของโลก สหรัฐอเมริกามีรายจ่ายทางทหารคิดเป็นกว่าร้อยละ 40 ของรายจ่ายทางทหารทั่วโลก และเป็นผู้นำทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมของโลก ดังนั้นผมจึงเห็นว่าไม่แปลกเลยล่ะครับ ที่เราเรียกประเทศนี้ว่า เป็นประเทศมหาอำนาจ




                  เอาล่ะครับ ตอนนี้ก็ได้รูจักประเทศสหรัฐอเมริกามาพอสมควรเเล้ว คราวนี้ผมขอเสนอสถานที่ท่องเที่ยวของประเทศนี้กันเลยดีกว่า รับรองครับว่าจะต้องอยากไปกันเเน่นอนเลยที่เดียว



สถานที่เเรกครับนั่นคือ สะพานโกลเดนเกต
            พานโกลเดนเกต (อังกฤษ: Golden Gate Bridge) ทอดยาวข้ามอ่าวตอนเหนือของเมืองซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกาสร้างในสมัยประธานาธิบดีแฟรงคลิน ดี. โรสเวลต์ เมื่อปี ค.ศ. 1933 เสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 1937 ตอนกลางสะพานยาว 1,280 เมตร กว้าง 27 เมตร สูงกว่าระดับน้ำทะเล 67 เมตร มีทางรถยนต์ 6 ทาง รถบรรทุก 3 ทาง รถไฟ 2 ทาง ใช้งบประมาณก่อสร้างราว 35 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
                        สะพานโกลเดนเกตกลายเป็นสถานที่ที่ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวทั่วโลก เมื่อสร้างเสร็จใหม่ๆ สะพานกลายเป็นสัญลักษณ์ของสหรัฐอเมริกาไปโดยปริยาย ปัจจุบันนี้เองผู้คนทั่วโลกเองก็ยังคงรู้จักสะพานโกลเดนเกตและเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันดับต้นๆ ของสหรัฐอเมริกา และจากผลการสำรวจสถานที่ที่น่าประทับใจของสถาบันสถาปนิกอเมริกัน พบว่าอยู่ในอันดับที่ 5 ของสถานที่ต่างๆ ในสหรัฐอเมริกาเลยล่ะครับ
            
มาสถานที่ๆสองเลยนะครับ สวยไม่เเพ้กันเลย นั่นก็คือ น้ำตกไนแองการ่า: Niagara Falls
 

  
            
น้ำตกไนแองการ่าแหล่งท่องเที่ยวที่ลือลั่นสนั่นโลก และเป็นแหล่งที่ทำเงินให้กับแคนาดาและสหรัฐอเมริกาปีหนึ่ง ๆ นับจำนวนมหาศาล เพราะสถานที่แห่งนี้ไม่เคยที่จะร้างห่างลาผู้คน ไม่ว่าจะเป็นฤดูหนึ่งฤดูใดก็ตาม

                 
ภาพของน้ำตกไนแองการ่าที่ไหลลงสู่ทะเลสาบออนตาริโอ เป็นผืนน้ำขนาดใหญ่ที่ดูเป็นแอ่งนิ่งและสงบอยู่ในแผ่นดินทางสหรัฐอเมริกา แต่ถัดมาที่มีลักษณะเป็นรูปเกือกม้าขนาดใหญ่กลับเป็นภาพของ กระแสน้ำที่หลั่งทะลักลงจากหน้าผาสูงเป็นแนวกว้าง กระโจนลงสู่พื้นเบื้องล่าง และเพราะแรงกระทบที่ตกลงไป ส่งผลให้เกิดละอองกระเซ็นสาดไปทั่วบริเวณ เมื่อกระทบกับแสงแดดที่สาดเข้าใส่ละอองเหล่านั้นจะปรากฏเป็นภาพของรุ้งกินน้ำ ประดับบริเวณน้ำตกอยู่ตลอดเวลา ส่วนความมหึมาของน้ำตกตรงจุดนี้เขาเรียกกันว่า "แคนาเดี่ยนฟอลส์" ส่วนบริเวณชั้นของน้ำตกส่วนล่างลงมา ซึ่งก็เป็นบริเวณที่เป็นชั้นน้ำตก ตกลงไปกระทบพื้นล่าง เป็นระดับแนวยาวขนานกันกับชั้นบนมามีชื่อเรียกว่า "อเมริกัน ฟอลส์" 

เอาล่ะครับสถานที่ต่อไปนี้คงจะคุ้นหูกันพอพมควรเลยล่ะครับ นั่นคือ ลาสเวกัส

                                      ลาสเวกัส ( Las Vegas) เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในมลรัฐเนวาดา สหรัฐอเมริกา เป็นสถาณที่ที่ชาวอเมริกันและคนทั่วโลก ให้ฉายาว่า "เมืองแห่งบาป" (Sin City) หรือ นักเขียนบางคนให้ชื่อว่าเป็น "America's Playground" หรือสนามเด็กเล่นของสหรัฐอเมริกา
                 ลาสเวกัสเป็นสถาณที่ที่มีลักษณะพิเศษ เพราะเมืองทั้งเมืองเจริญเติบโตขึ้นมาจากความก้าวหน้าของกิจการการพนัน เป็นแรงดึงดูดหลักให้นักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามา ต่อมาก็ได้พัฒนาไปสู่ธุรกิจบริการใกล้เคียง ได้แก่ โรงแรม ศูนย์แสดงสินค้า ศูนย์ประชุม ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า ซึ่งล้วนแล้วแต่มีความโอ่อ่าอลังการ และขนาดใหญ่มากกว่าที่อื่นในโลก จะหาได้ค่อนข้างยากที่จะมีบ่อนการพนัน และโรงแรมมารวมตัวกันอย่างแน่นหนาในบริเวณใกล้เคียงกันเหมือนกับเมืองลาสเวกัส แห่งนี้ โดยในที่สุด ปัจจุบันนี้ คนไปเที่ยวลาสเวกัสไม่ได้เป็นเพราะต้องการที่จะไปเล่นการพนันหรือไปดื่มกินให้สนุกเป็นหลักอีกต่อไป แต่ไปเพื่อได้เห็นลักษณะอันพิเศษของเมืองนี้   สำหรับผมเเล้ว ลาสเวกัสป็นเมืองที่หรูหราน่าดูเลยล่ะครับ ได้ดูเเค่ภาพถ่ายจากเว็บยังอยากไปเลย.... แต่ไม่มีตังค์55+
             
 เเละที่สุดท้ายนี้คือที่ๆผมอยากไปที่สุดครับ นั่นคือ  หอศิลป์แห่งชาติ รัฐวอชิงตัน
                
                    หอศิลป์แห่งชาติ (ภาษาอังกฤษ: National Gallery of Art) เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งชาติที่ตั้งอยู่ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี.ในประเทศสหรัฐอเมริกา ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1938 โดยรัฐสภาคองเกรส พร้อมกับกองทุนสำหรับสิ่งก่อสร้างและงานศิลปะจำนวนพอสมควรที่อุทิศโดย แอนดรู ดับเบิลยู เมลลอน (Andrew W. Mellon) และงานศิลปะที่อุทิศโดย เลสซิง เจ โรเซ็นวอลด์ (Lessing J. Rosenwald), ศิลปะอิตาลีจากแซมูเอล เฮนรี เครสส์ (Samuel Henry Kress), ประติมากรรมและจิตรกรรมอีกมากกว่า 2,000 ชิ้น, และงานพอร์ซิเลนจากโจเซฟ อี ไวด์เนอร์ (Joseph E. Widener) การอุทิศงานศิลปะเช่นนี้ทำให้หอศิลป์แห่งชาติ (วอชิงตัน ดี.ซี.) เป็นหอศิลป์ที่เป็นเจ้าของงานศิลปะที่ดีที่สุดที่หนึ่งในโลก.................

                            

                              เป็นไงบ้างล่ะครับ ได้รับชมที่เที่ยวของสหรัฐอเมริกากันไปแบบพอหอมปากหอมคอ บอกตรงๆ ผมยิ่งอ่านยิ่งอยากจะไปเที่ยวบ้าง55+  ก็ขอฝากสถานที่ท่องเที่ยวเหล่านี้ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจของผู้อ่านด้วยนะครับ มีเงินไปเที่ยวเมื่อไหร่ก็อย่าลืมชวนผมไปด้วยนะครับ จะเก็บตังค์ไว้รอ…>U<

                                                                   By Tone-Black.
 





Jab:     เอาล่ะครับ ตอนนี้ก็ผ่านไปเเล้วสำหรับประเทศสหรัฐอเมริกา แต่ผม Mr.Jab ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวของอีกประเทศหนึ่งมานำเสนอครับ  ก็ลองมาดูกันนะครับว่าจะน่าเที่ยวมากกว่าประเทศก่อนหน้านี้หรือปล่าว55+



ไปเที่ยวจีนกัน
                           
                    ประเทศจีน เป็นประเทศที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล และเป็นแหล่งรวมประชากรที่หนาแน่นแห่งหนึ่งของโลก  จีนจึงมีความหลากหลายทางภาษาและศิลปวัฒนธรรม  ประเทศจีน  เมืองหลวงคือ กรุงปักกิ่ง มีแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญๆ หลายแห่ง เช่น กำแพงเมืองจีน และ จัตุรัสเทียนอันเหมิน เป็นต้น ส่วนเมืองศูนย์กลางทางเศรษฐกิจนั้นจะอยู่ที่ เซี่ยงไฮ้ และ ฮ่องกง ประเทศจีน มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายหลายแห่ง แต่วันนี้ผมจะพาเพื่อนๆไปรู้จักกับเมืองพิเศษแห่งหนึ่งของจีน ซึ่งเคยได้เป็นเจ้าภาพในการจัดการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ เมืองที่ว่านั้นก็คือ เมืองกวางโจว นั่นเองครับ

                                               กวางโจว กวางโจว หรือ กวางเจา

ข้อมูลทั่วไป:
ที่ตั้ง
ปีสถาปนา
ประเภทเขตปกครอง
ผู้ว่าการ
พื้นที่ - ความสูงที่ตั้ง
ประชากร- เขตเมือง
-
ปริมณฑล
GDP (
พ.ศ.)
จำนวนเมือง/อำเภอ
จำนวนตำบล
มณฑลกวางตุ้ง
พ.ศ. 2464กึ่งมณฑล
จาง Guangning
3,718.8
ตร.กม.

11
เมตร (37 ฟุต)
พ.ศ. 2549
6,560,500
15,000,000
511.6
พันล้าน เหรินหมินปี้

10
เขต และ 2 เมือง
เขตเศรษฐกิจพิเศษ

กว่างโจว กวางโจว หรือ กวางเจา (จีนตัวเต็ม: 廣州, จีนตัวย่อ: 广州 Guǎngzhōu หรือ Gwong2 zau1 ในภาษาจีนกวางตุ้ง) เป็นเมืองเอกของมณฑลกวางตุ้ง กว่างโจวเป็นเมืองใหญ่สุดทางภาคใต้ของสาธารณรัฐประชาชนจีนซึ่งเป็นมณฑลซึ่งเป็นที่ตั้งของเขตเศรษฐกิจพิเศษทั้ง 3 แห่งของจีน คือ เซินเจิ้น จูไห่ และ ซัวเถา นอกจากนั้นเมืองกว่างโจวยังมีสำเนียงเฉพาะถิ่นที่ถือว่าเป็นมาตรฐานของ ฮ่องกง และมาเก๊า เรียกว่า สำเนียงกว่างโจวอีกด้วย

    
เมืองกว่างโจวตั้งอยู่ปากแม่น้ำจูเจียง และเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดทางตอนใต้ของสาธารณรัฐประชาชนจีน มีความประวัติศาสตร์ ยาวนานกว่า 2,800 ปี เป็นจุดเริ่มของเส้นทางสายไหมทางทะเลในครั้งอดีต และยังเคยเป็นเมืองท่าเสรีแห่งแรกและแห่งเดียวที่เปิดต้อนรับชาวตะวันตกที่เข้ามาติดต่อค้าขาย

     
กว่างโจวแม้จะเป็นศูนย์กลางในการปฏิรูปเศรษฐกิจจีน แต่กว่างโจวยังมีภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ที่ยาวนานในรูปสถานที่สำคัญต่าง ๆ ปัจจุบันกว่างโจวมีบทบาทเป็นเมืองในเขตเศรษฐกิจการค้าที่มีความเจริญรุ่งเรืองมากที่สุดในภาคใต้ของจีน และยังได้รับสถานะเป็นหนึ่งในสามเมืองท่าที่สำคัญที่สุดของจีน อีกทั้งยังเป็นเมืองที่มีผลผลิตโดยรวมมากที่สุดด้วย นอกจากนั้นยังมีการคมนาคมขนส่งที่สะดวก ทันสมัย มีระบบรถไฟใต้ดินครอบคลุมเมืองชั้นในทั้งหมด รวมทั้งด้านภูมิอากาศ อาหาร การดำรงชีวิต ตลอดจนความเป็นอยู่ก็มีความคล้ายคลึงกับประเทศไทย

     
กว่างโจวมีภาพลักษณ์ค่อนข้างแตกต่างจากเมืองทางเหนือ ซึ่งบรรยากาศที่เต็มไปด้วย "ราชการและเป็นทางการ" แต่ในกว่างโจวจะรู้สึกและรับรู้ได้ถึง "การค้าและความวุ่นวาย"
ประวัติศาสตร์
     
ประวัติศาสตร์ของกว่างโจวมีมายาวนาน ก่อนราชวงศ์ฉิน มีชื่อเรียกว่า ฟานยวี๋ เมื่อถึงปี พ.ศ. 769 (ค.ศ. 226) จึงเริ่มเรียกว่า กว่างโจว ที่นี่มีแม่น้ำจูเจียง ไหลผ่านกลางเมือง จึงมีการจราจรทางน้ำที่สะดวกยิ่ง ตั้งแต่สมัย ราชวงศ์ฮั่น เป็นต้นมา มีเรือจากกว่างโจว เดินทางไปยังที่ต่าง ๆ จนถึงราชวงศ์ถัง กว่างโจวได้กลายเป็น เมืองท่าที่มีชื่อเสียงของโลก มีการค้ากับต่างประเทศอย่างมั่งคั่งเป็นพิเศษ ผลิตภัณฑ์จากทางภาคใต้ของ ประเทศจีน เช่น ผ้าไหม ใบชา เป็นต้น ได้กลายเป็นสินค้าส่งออกจากที่นี่ เรือสินค้าของต่างชาติก็มาที่นี่เป็น จำนวนมากเช่นกัน

     
มีสถานที่ทางประวัติศาสตร์ต่าง ๆ ภายในตัวเมืองมีวัดชื่อ กวงเซี่ยวซื่อ เป็นโบราณสถาน ที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่ง ในสมัยราชวงศ์ ฮั่น เคยเป็นที่ประทับของ ฮ่องเต้ หนานเยว่ แห่งยุคฮั่นตะวันตก จนมา ถึงยุคฮั่นตะวันออก จึงได้กลายเป็นวัด ยังมีวัดอีกแห่งหนึ่งชื่อ ลิ่วหรงซื่อ ถูกสร้างขึ้นใน พ.ศ. 1080 (ค.ศ. 537) เดิมมิใช่ชื่อนี้ จนถึงสมัยราชวงศ์ ซ่ง (ราชวงศ์ซ้อง) นักวรรณคดีผู้ยิ่งใหญ่ ชื่อ ซู ซื่อ ได้มาเที่ยวที่นี่ เห็นว่าภายในวัดมีต้น หรง อยู่หกต้น จึงหยิบ พู่กันขึ้นมาเขียนตัวอักษร 2 ตัว ว่า ลิ่ว หรง (ลิ่ว = หก ; หรง = ชื่อต้นไม้) จนถึงราชวงศ์หมิงประชาชนจึงเรียก วัดนี้ว่า ลิ่ว หรง ซื่อ
ภูมิอากาศ
     
ภูมิอากาศของกว่างโจวถูกจัดว่าดีมาก ฤดูหนาวไม่หนาวจัด ฤดูร้อนไม่ร้อนจนเกินไป ทั้งสี่ฤดูตลอดปีจะมีดอกไม้บาน ผู้คนจึงมักเรียกกว่างโจวว่า เมืองดอกไม้ กว่างโจวมีภูมิทัศน์ที่งามตามีจุดชมวิวมากมาย
ภูมิประเทศ
     
ทางเหนือของกว่างโจวมี สวนสาธารณะ เยว่ซิ่ว ที่มีภูมิทัศน์ที่สวยงามยิ่ง เนื้อที่ประมาณ 92 ตร.กม. ภายในสวนมีบริเวณแห่งความงามหลายแห่ง เช่น ภูเขา เยว่ซิ่วซาน ภูเขา อู่หยางซาน ตึก เจิ้น ไห่ โหลว เป็นต้น บนยอดเขาเยว่ซิ่วซานมีอนุสรณ์สถานเป็นแท่งหินตั้งแท่งหนึ่ง ที่เชิงเขามีอนุสรณ์สถานที่เป็นโถงใหญ่โถงหนึ่ง ทั้งสองแห่งเป็นอนุสรณ์สถานของ ดร. ซุน จง ซาน (ซุนยัดเซ็น) ซึ่งถูกสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2474 (ค.ศ. 1931) ปัจจุบันประชาชนมักจะใช้โถงใหญ่เป็นที่จัดการประชุมหรือจัดการแสดงต่าง

     
ชานเมืองด้านเหนือของกว่างโจว มีภูเขาสูง 382 เมตร ชื่อ ไป๋ ยวิ๋น ซาน เป็นชื่อตามลักษณะที่มักจะมีเมฆสีขาวปกคลุมที่ยอดเขาเสมอ (ไป๋ = สีขาว ; ยวิน = เมฆ) บนภูเขามีต้นไม้สูง รวมทั้งพืชพันธุ์ดอกไม้และต้นหญ้า มีน้ำใส หน้าผาสีแดง งดงามยิ่งนัก ได้มีการจัดสิ่งอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว ทั้งสวนสาธารณะและโรงแรมที่พัก
เศรษฐกิจ
     
กว่างโจวยังได้รับการขนานนามว่าเป็นประตูด้านใต้ของประเทศจีน ปัจจุบันกว่างโจวไม่เพียงแต่มีการจราจรทางน้ำที่เฟื่องฟูมั่งคั่ง แต่ยังมีสายการบินนานาชาติบินเข้าออกอีกจำนวนไม่น้อยทีเดียว กว่างโจวจึงมีฐานะของเมืองที่สำคัญยิ่งของประเทศจีนในด้านการค้ากับต่างประเทศ
เมืองกว่างโจวตั้งอยู่ปากแม่น้ำจูเจียง และเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดทางตอนใต้ของจีน เป็นเมืองเอกของมณฑลกวางตุ้งซึ่งเป็นมณฑลซึ่งเป็นที่ตั้งของเขตเศรษฐกิจพิเศษทั้ง 3 แห่งของจีน คือ เซินเจิ้น จูไห่ และ ซัวเถา นอกจากนั้นยังใกล้กับเขตปกครองพิเศษมาเก๊าและฮ่องกง

วีซ่าจีนขอไม่ยาก สามารถฝากบริษัททัวร์ขอได้ ยิ่งซื้อตั๋วเครื่องบินผ่านบริษัททัวร์ด้วยแล้วสามารถขอความอนุเคราะห์ได้หรือเสียค่าธรรมเนียมนิหน่อยสำหรับผู้ไม่มีเวลา แต่ถ้าท่านมีเวลาสามารถเข้าดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.chinaembassy.or.th

รถไฟใต้ดินกว่างโจว(Guangzhou Metro) มี 4 สาย คือ สายสีเหลืองวิ่ง Xilang - Guangzhou East Railway Station สีน้ำเงินวิ่ง Sanyuanli - Wanshengwei สีส้มวิ่ง Guangzhou East Railway Station/Tianhe Coach Terminal - Panyu Square และสีเขียววิ่ง Wanshengwei – Jinzhou
กังฟูฟาตฟูต(Kung Fu Fast Food) อาหารยอดฮิตของชาวจีนทั้งที่กวางโจว และทั่วแผ่นดินใหญ่ ดังพอ ๆ กับ KFC ของอเมริกาเลยก็ว่าได้ราคาก็ไม่แพงชุดละไม่เกิน 100 บาท  อร่อยไม่เบาเหมือนกัน

CITIC Plaza ตึกสูงที่สุดในกวางโจวและเป็นอันดับ 7 ของโลก(รองจากไทเป 101ไต้หวัน,ปิโตรนาส 2 ตึกที่มาเลเซีย,เซียร์ทาวเวอร์ ที่ชิคาโก สหรัฐอเมริกา,จินเหมาทาวเวอร์ ที่เซี่ยงไฮ้ และ Two International Finance Center ที่ฮ่องกง) ตึก CITIC Plazaสูง 391 เมตร สร้างเมื่อ ค.ศ. 1997
Yuexiu Park เป็นที่ตั้งของสถานที่ถ่ายรูปยอดฮิตของนักท่องเที่ยวไทยคือ หินแกะสลักแพะ 5 ตัว(Sculpture of the Five Rams)ซึ่งหินแกะสลักนี้มีชื่อเสียงมากและเป็นสัญลักษณ์ของกวางโจว สวนสาธารณะ Yuexiu Park เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่  860,000 ตรม.
สวน ดร.ซุน ยัด เซ็น (Sun Yat Sen Memorial Park Guangzhou) เป็นนักปฎิวัติของจีนนับถือคริสต์  เป็นบุคคลสำคัญที่โค่นล้มราชวงศ์ของจีน(ราชวงศ์ชิง)  และเป็นผู้ก่อตั้งพรรคก๊กมินตั๋ง   และเป็นประธานาธิบดีคนแรกของจีนด้วย   หลังจากนั้นนายพลเจียง ไคเชกเป็นผู้นำพรรคก๊กมินตั๋งแทน  ต่อมาการทำสงครามกับฝ่ายคอมมิวนิสต์ (ประธานเหมา) รัฐบาลเจียง ไคเชกเป็นฝ่ายแพ้ต้องอพยพไปตั้งรัฐบาลจีนคณะชาติที่ไต้หวันในปี พ.ศ. 2492 (ค.ศ. 1949)

แม่น้ำจูเจียง(แม่น้ำไข่มุก) ถือเป็นสายเลือดหลักของกว่างโจวเหมือเจ้าพระยาบ้านเรามีพื้นที่กว่า 42,000 ตร.กม.เป็นเขตสามเหลียมเศรษฐกิจจูเจียงที่เกิดจากการไหลเซาะของแม่น้ำ  อันประกอบด้วยกว่างโจว เซินเจิ้น ฝอซัน จูไห่ ตงก่วน จงซัน และฮุ่ยโจว รวมประชากร 30 ล้านกว่าคน(เกือบครึ่งของประเทศไทย)
ศูนย์แสดงสินค้านานาชาติกวางเจาที่ Chinese Export Commodities  Fair Complex (Pazhou Complex)กวางเจาแฟร์ ครั้งที่ 105 ปีนี้จัดเดือน เม.ย.- พ.ค. เหมาะสำหรับท่านที่ต้องการลงทุนศึกษาตลาด หรือไปดูงาน

                           รู้สึกยังไงบ้างครับ ผมเชื่อว่าตอนนี้หลายๆคนคงจะรู้สึกเหมือนกันคืออยากจะไปเที่ยวกันเเล้วใช่มั้ยล่ะ^^  และผมก็คิด(เอาเอง)อีกนั่นเเหละว่าประเทศที่หลายคนอยากจะไปคือประเทสจีนแห่งนี้นี่เอง!!!  เพราะนอกจากจะมีที่น่าท่องเที่ยวเยอะเเยะเเละน่าสนใจมากมายแล้ว ยังสามารถเที่ยวได้โดยใช้จ่ายเงินน้อยกว่าประเทศทางอเมริกาเเละยุโรปไปได้มากทีเดียว ก็อย่าลืมนะครับ สำหรับผู้ที่กำลังหาที่เที่ยวในต่างประเทศอยู่ ก็มาที่กันได้ที่จีนนะคร้าบ.....^^
                                                                                      
                                                                           By Jab MorVor




Yong: ครับ... ก็จบไปเเล้วสำหรับที่น่าเที่ยวในประเทศจีน ประเทศที่เคยเป็นเจ้าภาพจัดกีฬาเอเชี่ยนเกมส์มาแล้ว  แต่อย่าเพิ่งรีบตัดสินใจไปเลยครับ เพราะผมยังมีประเทศที่น่าเที่ยวระดับโลกมาฝากกัน และเชือว่าคงเป็นความใฝ่ฝันของใครหลายๆคน ที่จะต้องไปเที่ยว ณ ที่เเห่งนี่สักครั้งในชีวิตให้ได้นั่นคือ...  ประเทศอิตาลี ครับ
         
                           อิตาลี (อิตาลี: Italia) มีชื่ออย่างเป็นทางการคือ สาธารณรัฐอิตาลี (อิตาลี: Repubblica italiana) เป็นประเทศในทวีปยุโรป บริเวณยุโรปใต้ ตั้งอยู่ในคาบสมุทรอิตาลีที่มีรูปทรงคล้ายรองเท้าบูต และมีเกาะ 2 เกาะใหญ่ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน คือ เกาะซิซิลีและเกาะซาร์ดิเนีย และพรมแดนตอนเหนือแบ่งประเทศโดยเทือกเขาแอลป์ กับประเทศฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ ออสเตรีย และสโลวีเนีย ประเทศอิตาลีเป็นประเทศสมาชิกก่อตั้งของสหภาพยุโรป เป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติ นาโต และกลุ่มจี 8
มีประเทศอิสระ 2 ประเทศ คือ ซานมารีโนและนครรัฐวาติกัน เป็นดินแดนที่ล้อมรอบไปด้วยพื้นที่ของอิตาลี ในขณะที่เมืองกัมปีโอเนดีตาเลีย เป็นดินแดนส่วนแยกของอิตาลีที่ถูกล้อมรอบด้วยพื้นที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

ภูมิประเทศ
ประเทศอิตาลีตั้งอยู่บนคาบสมุทรอิตาลี ถูกล้อมรอบด้วยทะเลในทุกๆ ด้านยกเว้นด้านเหนือ อาณาเขตทางทิศเหนือติดต่อกับประเทศฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์และออสเตรียโดยมีเทือกเขาแอลป์กั้นแบ่ง โดยในเทือกเขามีภูเขาที่สูงที่สุดในทวีปยุโรป คือภูเขามอนเตบีอังโก (อิตาลี: Monte Bianco) ซึ่งตั้งอยู่ในประเทศอิตาลี เทือกเขาที่สำคัญอีกแห่งคือ เทือกเขาแอเพนไนน์ (อิตาลี: Appennini) พาดผ่านตอนกลางและตอนใต้ของประเทศ มีแม่น้ำที่ยาวที่สุดในอิตาลีคือแม่น้ำโป (Po) และแม่น้ำไทเบอร์ที่ไหลผ่านกรุงโรม อิตาลีมีดินแดนที่ราบลุ่มริมแม่น้ำราว 25 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ทั้งประเทศ โดยที่ราบลุ่มแม่น้ำโป ทางตะวันออกเฉียงเหนือเป็นบริเวณพื้นที่ราบที่กว้างใหญ่ที่สุด อิตาลีมีเกาะมากมาย แต่เกาะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดคือเกาะซิซิลีและเกาะซาร์ดิเนีย สามารถเดินทางได้โดยเรือและเครื่องบิน
ทางตอนเหนือของอิตาลีมีทะเลสาบที่มีขนาดใหญ่มากมาย เช่น ทะเลสาบการ์ดา โกโม มัจโจเร และทะเลสาบอีเซโอ เนื่องจากประเทศอิตาลีถูกล้อมรอบด้วยทะเล ดังนั้นจึงมีชายฝั่งทะเลยาวหลายพันกิโลเมตร ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก และนักท่องเที่ยวก็นิยมเที่ยวสถานที่ทางประวัติศาสตร์ของอิตาลีอีกด้วย ประเทศอิตาลีมีทะเลสาบปล่องภูเขาไฟมากอันดับหนึ่งของโลก เมืองหลวงของประเทศอิตาลีคือกรุงโรม และเมืองสำคัญอื่น ๆ เช่นเมืองมิลาน ตูริน ฟลอเรนซ์ เนเปิลส์ และเวนิส และภายในประเทศอิตาลียังมีประเทศแทรกอยู่ 2 ประเทศ ได้แก่ ประเทศซานมารีโนและนครรัฐวาติกัน
 
ทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญของประเทศ คือ ปรอท โพแทช (โพแทสเซียมคาร์บอเนต) หินอ่อน กำมะถัน แก๊สธรรมชาติ น้ำมันดิบ ปลาและถ่านหิน[5]
อิตาลีมีปัญหาด้านสภาพแวดล้อม เช่น มลภาวะเป็นพิษจากอุตสาหกรรมและการสันดาบ ชายฝั่งแม่น้ำเน่าเสียจากอุตสาหกรรม และสารตกค้างจากการเกษตร ฝนกรด การขาดการดูแลบำบัดของเสียจากอุตสาหกรรมอย่างเพียงพอ และปัญหาด้านภัยธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหว ดินและโคลนถล่ม ภูเขาไฟระเบิด น้ำท่วม รวมถึงปัญหาแผ่นดินทรุดตัวในเวนิส
ภูมิอากาศ
ประเทศอิตาลีมีลักษณะอากาศหลากหลายแบบ และอาจมีความแตกต่างจากภูมิอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียนตามลักษณะพื้นที่ตั้ง พื้นที่ส่วนใหญ่ทางตอนเหนือของประเทศ เช่นเมืองตูริน มิลาน และโบโลญญา มีลักษณะแบบอากาศภาคพื้นทวีปที่ค่อนข้างร้อนชึ้น (การแบ่งลักษณะภูมิอากาศแบบเคิปเปน: Cfa) พื้นที่ชายฝั่งติดกับทะเลของแคว้นลิกูเรียและส่วนใหญ่ของคาบสมุทรที่อยู่ใต้ลงไปจากฟลอเรนซ์เป็นภูมิอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียน (การแบ่งลักษณะภูมิอากาศแบบเคิปเปน: Csa) คือมีอากาศอบอุ่นตลอดทั้งปี โดยมีลมจากแอฟริกาพัดเอาความร้อนและความชี้นเข้ามา[4] พื้นที่ชายฝั่งของคาบสมุทรอิตาลีสามารถมีความแตกต่างกันได้มากจากระดับความสูงของภูเขาและหุบเขา โดยเฉพาะเมื่อถึงฤดูหนาวในที่สูงก็จะมีอากาศหนาว ชื้น และมักจะมีหิมะตก ภูมิภาคริมทะเลมีอากาศไม่รุนแรงในฤดูหนาว อากาศอุ่นและมักจะแห้งในฤดูร้อน และพื้นที่ต่ำกลางหุบเขามีอากาศค่อนข้างร้อนในฤดูร้อน
ประเทศอิตาลีมีฤดู 4 ฤดู ได้แก่ ฤดูหนาว ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน และฤดูใบไม้ร่วง
สถานที่ท่องเที่ยว 

หอเอนเมืองปิซา (อิตาลี: Torre pendente di Pisa หรือ La Torre di Pisa, อังกฤษ: Leaning Tower of Pisa) ตั้งอยู่ที่เมืองปิซา ในจัตุรัสเปียซซา เดล ดูโอโม (Piazza Del Duomo) หอระฆังของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก เป็นหอทรงกระบอก 8 ชั้น สร้างด้วยหินอ่อนสีขาว สูง 183.3 ฟุต (55.86 เมตร) น้ำหนักรวม 14,500 ตันโดยประมาณ มีบันได 293 ขั้น เอียง 3.97 องศา ยอดของหอห่างจากแนวตั้งฉาก 3.9 เมตร
โคลอสเซียม


                     สนามกีฬากลางแจ้งแห่งนี้เป็นสิ่งก่อสร้างที่มีชื่อเสียงของโลกอย่างหนึ่ง เป็นอนุสรณ์ที่ ใหญ่โตของอาณาจักร โรมันสมัยโบราณสร้างขึ้นในระหว่าง พ.ศ. 615 ถึง 623 (ค.ศ. ที่ 72 ถึง 80) ตัวสนามสร้างมีรูปเป็นตึกวงกลมก่อด้วยอิฐและหินขนาดใหญ่ วัดโดยรอบยาว 527 เมตร สูง 57 เมตร มี 4 ชั้น ภายในมีอัฒจรรย์สำหรับคนนั่งดู จุคนดูประมาณ 80,000 คน ใต้อัฒจรรย์ และใต้ดินมีห้องสำหรับขังนักโทษที่รอการประหารชีวิต และสิงโต หลายร้อยห้อง ใช้เป็นสถานที่ให้นักโทษ ต่อสู้กับสิงโตที่อดอาหาร หากนักโทษผู้ใดเอาชนะ ฆ่าสิงโตได้ด้วยมือเปล่าได้ก็รอดชีวิตไป หรือ ไว้ใช้เป็นที่ประลองฝีมือในเชิงฟันดาบของบรรดาเหล่าทาสให้ต่อสู้กันเอง ยิ่งถ้าต่อสู้กัน จนถึงสามารถฆ่าคู่ต่อสู้ตาย ก็จะได้รับเกียรติอย่างสูงเพราะเป็นการต่อสู้ที่ชาวโรมันนิยมและยกย่องกันมาก ปี ๆ หนึ่งต้องสูญเสียชีวิตนักโทษและทาสไม่ต่ำกว่าร้อยคน
สนามกีฬาแห่งนี้จึงเป็นสิ่งก่อสร้างที่แสดงถึงความรุ่งโรจน์ของอาณาจักรโรมันโบราณ แต่เมื่ออาณาจักรโรมันเสื่อมลง ก็ถูกข้าศึกทำลายหลายครั้งหลายหน ในปัจจุบันเหลือแต่ซากโครงสร้างอันใหญ่โตมโหฬารไว้ให้ชม

   บันไดสเปน (The Spanish Steps) เป็นบันไดที่มีความกว้างและยาวที่สุดในยุโรป  ที่แห่งนี้ถูกเรียกชื่อตามสถานฑูตสเปน ซึ่งตั้งอยู่ ณ บริเวณนั้น  เป็นแหล่งชุมนุมของหนุ่มสาว

         
  น้ำพุรูปเรือโบราณ ออกแบบโดย แบร์นินี่
  ศิลปินบาโรคผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ที่ออกแบบจตุรัสเซนต์ปีเตอร์ ในรัสวาติกันด้วยสถาปัตยกรรมที่สวยงามและความใหญ่โตนั่นเอง จึงเป็นที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้มาเยือน

        
   น้ำพุเทรวี่ (The Trevi Fountain)  น้ำพุชิ้นเอกของแบร์นินี่   หัวใจของจตุรัส  navona และจตุรัสนี้ก็ถือเป็นหัวใจของชาวกรุงโรม  เป็นศูนย์กลาง และแหล่งชุมนุมของผู้คนมาทุกยุคสมัย ตามธรรมเนียมแล้วนักท่องเที่ยวที่มาชมน้ำพุเทรวี่แห่งนี้ ควรจะโยนเหรียญ 1 เหรียญลงไปในสระ โดยมีความเชื่อกันว่า หากโยนเหรียญลงไปแล้ว จะได้กลับมาเยือนกรุงโรมอีกครั้งหนึ่ง

หลังจากที่ได้ชมบทความของผมไปแล้ว รู้สึกเป็นไงครับ สำหรับผม ผมว่าประเทศอิตตาลี เป็นประเทศที่น่าท่องเที่ยวอีกประเทศหนึ่ง มีมนต์เสน่ห์ มีเอกลักษณ์เป็นของตนเองมีสิ่งที่น่าทึ่งหลายอย่างเป็นประเทศที่รุ่งเรื่องมาก่อนในประวัติศาสตร์ ผมคิดว่าพออ่านแล้วก็อยากไปกันใช่ไหมครับ ผมก็ขอให้ได้ไปแล้วกันนะครับ


                                                                By Yong.   


Tone:  เอาล่ะครับ ตอนนี้เราทั้งสามคนก็คิดว่าผู้ที่ได้เข้ามาอ่านในบล็อกของเรา ก็คงจะอิ่มเอมกันการท่องเที่ยวและรับฟัง(หรือว่ารับอ่านหว่า??)สถานที่น่าเที่ยวของประเทศนั้นๆเเล้วใช่มั้ยครับ  และตอนนี้ก็คงมีประเทศที่อยากจะเที่ยวเอาไว้ในใจเเล้วเเน่นอนเลย^^

Jab: ครับ...เเละ ถ้าหากว่าสนใจประเทศทั้ง3ประเทศนี้ ก็ไปเที่ยวกันได้นะคร้าบ....

Yong: สำหรับวันนี้ "บล็อคมะเขือเปราะ-->ชวนคุยชวนเที่ยว"   ก็ขอพักงีบสักหน่อย...
ไว้โอกาสหน้า ก็จะชวนคุยชวนเที่ยวกันใหม่...

สำหรับวันนี้ พวกเรา Tone Jab เเละ Yong  ขอลาไปก่อน
........พบกันใหม่โอกาสหน้านะคร้าบ.......
สวัสดีคร๊าบบบบบบบบ...^U^